
ปัจจุบันประชาชนและผู้ป่วยจำนวนมากมีความสนใจและมีความประสงค์จะใช้สารสกัดกัญชาในการบำบัดรักษา บรรเทาอาการของโรคหรือฟื้นฟูสุขภาพ แพทย์และบุคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องใช้ดุลยพินิจอย่างมืออาชีพในการพิจารณาว่าสารสกัดกัญชาเป็นการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วย

โดยจะต้องศึกษาข้อมูลด้านวิชาการที่เป็นปัจจุบัน ก่อนที่จะเลือกสั่งใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ให้กับผู้ป่วย และจะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองด้านคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัย
ข้อบ่งใช้ของกัญชาในทางการแพทย์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-based Document) ที่มีคุณภาพสนับสนุนยืนยันประสิทธิผลของการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาได้อย่างชัดเจน
- ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด (Chemotherapy-Induced Nausea and Vomiting)
- โรคลมชักที่รักษายาก (Refractory Epilepsy) ได้แก่ Dravet syndrome, Lennox-Gastaut syndrome โรคลมชักที่ไม่สามารถควบคุมอาการชักได้ด้วยยา 2 ชนิดขึ้นไป
- ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง (Spasticity) ในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis)
- ภาวะปวดประสาทส่วนกลางที่รักษาด้วยวิธีมาตรฐานแล้วไม่ได้ผล (Intractable Central Neuropathic Pain)
- ภาวะเบื่ออาหารในผู้ป่วย AIDS ที่มีน้ำหนักน้อย (Cachexia)
- การเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง หรือผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิต (End of life)

ข้อบ่งใช้ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ในการสนับสนุนอยู่จํากัด แต่มีรายงานการวิจัยหรือหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนว่าการใช้กัญชาอาจจะได้ประโยชน์ในการควบคุมอาการ
กลุ่มโรคทางประสาทวิทยา ได้แก่
- ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) ที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีมาตรฐานอย่างน้อย 1 ปี หรือผู้ป่วย ที่ทุกข์ทรมานจากอาการปวดหรือปวดเรื้อรังจากภาวะแข็งเกร็งที่ไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวด
- ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) ที่ได้รับความทุกข์ยากลำบากในการ ประกอบกิจวัตรประจำวันและการเข้าสังคม จากอาการผิดปกติต่างๆ ซึ่งมีการดำเนินของโรคเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การเคลื่อนไหวผิดปกติ พฤติกรรมผิดปกติ การนอนผิดปกติ ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องได้รับการประเมินอาการ และวินิจฉัยแยกโรคจากภาวะสมองเสื่อม (Dementia) โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางสาขาประสาทวิทยา
กลุ่มอาการที่สำคัญ- ผู้ป่วยที่มีภาวะผิดปกติทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง
- ผู้ป่วยมะเร็งเพื่อใช้ในการบรรเทาอาการปวด
- กลุ่มโรคที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร
หากผู้ป่วยมีโรคและภาวะโรคที่ไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น การพิจารณาสั่งจ่าย ผลิตภัณฑ์กัญชาควรดำเนินการภายใต้โครงการศึกษาวิจัยทางคลินิก

ในปี พ.ศ.2560 มีการศึกษาวิจัยชนิดคุณภาพสูง (randomized placebo controlled trial) ของการรักษาโรคลมชักรักษายากในเด็กในต่างประเทศ พบว่า ยาสกัดกัญชาชนิดซีบีดีสามารถรักษาอาการชักได้ ในโรคลมชัก ชนิด Dravet syndrome และ Lennox Gastaut Syndrome ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทำให้เพิ่มโอกาสการคุมชักได้มากขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยโรคลมชักรักษายากในเด็ก หลังจากผลการวิจัยดังกล่าวทำให้มีการศึกษาวิจัยการใช้ยาสกัดกัญชาชนิดซีบีดีรวมทั้งยาสกัดกัญชาที่มีสารซีบีดีสูง (CBD: THC >20:1) มารักษาโรคลมชักรักษายากชนิดอื่นๆมากขึ้น
ทั้งนี้การจ่ายผลิตภัณฑ์กัญชาให้แก่ผู้ป่วยในแต่ละครั้งต้องไม่เกินปริมาณที่ใช้สำหรับ 30 วัน
อนึ่ง ข้อกำหนดสำหรับผู้ที่ไม่สามารถรับการรักษาด้วยสารสกัดกัญชาทางการแพทย์ ได้แก่
- กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- มีประวัติแพ้สารสกัดกัญชา
- โรคหัวใจและหลอดเลือด/โรคตับ/โรคไตที่รุนแรง
- รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- โรคจิตเภท/โรคจิตจากสารเสพติด/โรคซึมเศร้า/โรคอารมณ์สองขั้ว
- มีความเสี่ยงสูงในการทำร้ายตนเอง
สำหรับผู้สนใจเข้ารับบริการที่คลินิกกัญชาทางการแพทย์ กรุณาติดต่อสอบถามรายละเอียดที่สถานพยาบาลนั้นๆ ล่วงหน้าเพื่อความสะดวกในการเข้ารับบริการ

รักษามะเร็ง
สารสกัดจากกัญชาอาจยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งปอดและยับยั้งการเติบโตของเนื้องอกมะเร็งบางอย่างในหนูทดลองได้ หลังจากนั้น เมื่อมีการวิจัยเพิ่มขึ้น พบว่าสารสกัดจากกัญชาสามารถต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ ได้จริง โดยการยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นเลือดของก้อนมะเร็ง (Angiogenesis) และลดการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งไปยังส่วนอื่นๆ (Metastasis) ในโรคมะเร็งหลายชนิด ด้วยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างโปรแกรมการตายของเซลล์มะเร็ง (Program cell death) ผ่านกระบวนการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
อย่างไรก็ตาม ประสิทธิผลของการรักษาโรคมะเร็งด้วยสารสกัดกัญชา จึงต้องมีการศึกษาวิจัยในรายละเอียดแต่ละประเด็นต่อไป
คลายความวิตกกังวล
จากประวัติการใช้กัญชาเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายในอดีตทำให้มีความเป็นไปได้ที่สารกลุ่มแคนนาบินอลน่าจะมีฤทธิ์คลายความวิตกกังวล แต่อย่างไรก็ตามพบว่ากลไกการออกฤทธิ์นั้นซับซ้อนและยังไม่มีการอธิบายที่ชัดเจน จากรายงานทางคลินิกพบว่าการใช้สาร Fatty acid amide hydrolase inhibitors (FAAH inhibitors) ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Endocannabinoids มีความสามารถในการลดอาการวิตกกังวลได้ ปัจจุบันสารหลายชนิดในกลุ่มนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบทางคลินิก
Add a Comment