การอภิปรายหมู่ในหัวข้อ Cannabis Medicine และประสบการณ์ในการบำบัดรักษาในประเทศไทย การบรรยาย เรื่อง Pharmacology of Cannabis Medicine, Dosing and Essential lab testing และการใช้กัญชาทางการแพทย์แผนไทยและตำรับหมอพื้นบ้าน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างวิชาชีพ เกี่ยวกับประสบการณ์บำบัดรักษาจริง
กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดอบรม “หลักสูตรกัญชาทางการแพทย์แบบบูรณาการ” ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งภาครัฐและเอกชน ครอบคลุมทุกสหวิชาชีพ สร้างความรู้ความเข้าใจ และทำงานแบบบูรณาร่วมกัน เพื่อประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์อย่างปลอดภัย
หลักสูตรกัญชาทางการแพทย์ เพื่อให้แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ความรู้ความเข้าใจในการสั่งใช้ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เฉพาะกัญชาให้กับผู้ป่วยหรือสัตว์ป่วย นำไปใช้ได้ถูกต้องตามหลักวิชาการและเป็นไปตามกฎหมาย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ บูรณาการบำบัดรักษาร่วมกันระหว่างแต่ละวิชาชีพ สร้างความเข้าใจและเตรียมพร้อมในการรับและส่งต่อผู้ป่วย
พืชกัญชามีส่วนประกอบของสารเคมีมากกว่า 450 ชนิด โดยมากกว่า 105 ชนิดเป็นสารกลุ่มแคนนาบินอยด์ (cannabinoids) มีองค์ประกอบหลักคือ THC และสารชนิดอื่นในกลุ่มเดียวกัน เช่น Cannabinol (CBN), Cannabidiol (CBD), Cannabichtomme (CBC), Cannabigerol (CBG) เป็นต้น นอกจากนี้ได้มีการสังเคราะห์สารที่เป็นอนุพันธ์ของสาร THC ขึ้นมาใหม่อีกหลายชนิด รวมถึงการค้นพบกลไกการออกฤทธิ์ของสารในกลุ่มนี้
ลมชัก : ควบคุมอาการลมชัก (Epilepsy): ผู้ป่วยโรคลมชักคิดเป็น 1 % ของประชากรโลก และพบว่าผู้ป่วย 20-30% ยังไม่สามารถควบคุมอาการชักได้โดยใช้ยาที่มีอยู่ในปัจจุบันจึงจำเป็นต้องมีการวิจัยเพื่อหาตัวยาชนิดใหม่ มีการทดลองในสัตว์ทดลองโดยใช้ CBD และพบว่า CBD สามารถต้านอาการชักได้ดี (เป็น Anticonvulsant ที่ดี) และไม่มีความเป็นพิษต่อระบบประสาท ต่อมามีการทดลองทางคลินิกในผู้ป่วยที่ประสบปัญหาไม่สามารถควบคุมอาการชักได้ เมื่อให้ยากันชักร่วมกับการให้ CBD 200-300 มิลลิกรัม. ต่อวันเป็นเวลา 8-18 สัปดาห์ พบว่า 37% ของผู้ป่วย ไม่เกิดอาการชักตลอดการศึกษา และอีก 37% มีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นในผู้ที่ได้รับ CBD คือทำให้เกิดอาการง่วงนอน การศึกษาวิจัยเพิ่มเติมด้วยการใช้ CBD ชนิดเดียวทำให้เราสามารถเข้าใจกลไกการออกฤทธิ์ของ CBD ได้ดีมากขึ้น และในการศึกษาทางคลินิกของ Epidolex® (GW Pharmaceuticals) ซึ่งมี CBD เป็นสารสำคัญ พบว่าสามารถใช้รักษาอาการชักแบบควบคุมไม่ได้ด้วยยา (intractable epilepsy) เช่น Dravet and Lennox-Gastaut syndromesได้ และได้รับการอนุมัติโดย U.S. FDA ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561ให้สามารถใช้ในการรักษาอาการชักทั้ง 2 ชนิดดังกล่าว
โรคพาร์กินสัน: โรคพาร์กินสัน เป็นโรคที่มักเกิดกับผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งเกิดขึ้นจากความเสื่อมของสมองและระบบประสาทโดยผู้ป่วยจะมีอาการสั่นตามส่วนต่างๆของร่างกายและเคลื่อนไหวช้าลง การใช้กัญชาในการรักษาโรคพาร์กินสันมีมาตั้งแต่ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 “คู่มือโรคของระบบประสาท” ของ William Richard Gowers บริเวณของปมประสาทฐานซึ่งเป็นส่วนที่ส่งผลต่ออาการโรคพาร์คินสันมีตัวรับ CB1 cannabinoid ที่มีความหนาแน่นสูงมาก การใช้ยากัญชาจึงช่วยคนไข้พาร์กินสันได้ดี
โรคอัลไซเมอร์
โรควิตกกังวล: โรคที่ใครหลายคนในยุคนี้ต่างเป็นกันได้ทุกเพศทุกวัยจากต้นเหตุของความเครียด ที่แสดงอาการผ่านการกังวล ตื่นตระหนก ขาดสมาธิ หน้ามืด ใจสั่น หรือนอนไม่หลับล้วนเป็นสัญญาณของอาการวิตกกังวลทั้งสิ้น Cannabidiol (CBD) คือ cannabinoid ซึ่งเป็นสารเคมีที่พบได้ตามธรรมชาติในพืชกัญชา (กัญชงและกัญชา) การวิจัยเบื้องต้นแสดงถึงแนวโน้มเกี่ยวกับความสามารถของน้ำมัน CBD ในการช่วยคลายความวิตกกังวล
โรคปลอกประสาทอักเสบ: โรคอันตรายที่มักเกิดกับผู้หญิงวัยทำงานและกลุ่มช่วงวัยที่อายุเพียง 20 – 40 ปี และเป็นอีกโรคที่ส่งผลจากการทำงานของเส้นประสาทที่ถูกทำลายไปยังปลอกหุ้มประสาท ทำให้เกิดอาการที่ส่งผลต่อการเดินทรงตัว ความรู้สึกชารอบอกและการมองเห็น กัญชาสามารถลดอาการปลอกประสาทเสื่อม (Multiple sclerosis, MS) : MS เป็นความผิดปกติทางระบบประสาทซึ่งมักเกิดร่วมกับการหดเกร็งของกล้ามเนื้อซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดรุนแรงและมีอาการปวดแบบเรื้อรัง และพบว่าทั้งผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับ THC เพียงชนิดเดียว และผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับยาที่มีส่วนผสมของ THC และ CBD ในอัตราส่วน 1 ต่อ 0.5 สามารถช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและช่วยบรรเทาอาการปวดดังกล่าวและช่วยให้ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้
โรคมะเร็ง: โรคที่คนส่วนใหญ่น่าจะรู้จักกันดี เป็นอีกโรคที่ควรเฝ้าระวังเพราะเป็นโรคที่สามารถแพร่ได้ตามจุดต่างๆของร่างกายโดยไม่สนใจว่าคุณจะเป็นเพศอะไรหรืออายุเท่าไหร่ ยิ่งตรวจพบเร็วและรักษาได้ถูกทางโอกาสที่อาการจะทุเลาและหายจากโรคยิ่งมีมากขึ้น กัญชาสามารถลดอาการคลื่นไส้ อาเจียนจากการได้รับเคมีบำบัด (Antiemetic effect): ผลการวิจัยทางคลินิกยืนยันว่า กัญชามีประสิทธิภาพในการลดอาการคลื่นไส้ อาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดได้ดีกว่ายา Prochlorperazine, Domperidone และ Alizapride ที่ใช้อยู่ในขณะนั้น และได้รับการอนุมัติให้ใช้ในประเทศแคนาดาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) เป็นต้นมา และมีการทดลองกว่า 45 ที่แล้วค้นพบในห้องทดลองว่าสารสกัดกัญชาลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
Add a Comment